THA/Satoon-Crocodile Cave (ถ้ำจระเข้) 2007

24 February 2007
ถ้ำจระเข้-หาดสมิหลา-ตลาดตันหยงหาดใหญ่-กลับกรุงเทพ
วันนี้เราก็ตื่นกันแต่เช้า กินอาหารมื้อเช้าที่ร้านอาหารของอุทยาน เสร็จแล้วก็ check out นำกระเป๋าไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ดูและอุทยาน เพราะเราจะเช่าเรือหางยาว ไปเที่ยวถ้ำจระเข้ ก่อนที่ เรือ speed boat จะมารับนักท่องเที่ยวกับไปยังท่าเรือปากบารา จ. สตูล
ถ้ำจระเข้ เป็นถ้ำที่มีความลึกประมาณ 300 เมตร ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงามและมีลักษณะแตกต่างกันไป การเดินทางไปถ้ำจระเข้ต้องนั่งเรือหางยาวไปตามคลองพันเตมะละกา ซึ่งอุดมไปด้วย ป่าชายเลนที่มีไม้โกงกางจำนวนมากตลอดสองฝั่งคลองโดยใช้เวลาล่องเรือประมาณ 15 นาทีและใช้เวลา ชมถ้ำประมาณหนึ่งชั่วโมง ติดต่อได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ ผู้ที่จะเที่ยวชมภายในตัวถ้ำควรนำไฟฉายไปด้วยเมื่อถึงที่หมายถ้ำจระเข้ เรือเทียบท่าบันไดทางขึ้น ซึ่งขณะนั้นน้ำกำลังลดทำให้เราต้องปีนบันไดเพิ่มขึ้นอีกหลายขั้น (เป็นแบบบันไดลิงทำด้วยไม้ธรรมดาไม่แข็งแรงระยะห่างก็ไม่เท่ากัน) ขอให้ระวังเพราะขั้นบันไดจะลื่นมากเนื่องจากโคลนเปียกที่จับอยู่ตามขั้นบันไดด้านล่าง เราใส่รองเท้ารฟองน้ำเลยเป็นเหตุให้ก้าวพลาด เท้าไปขูดกับขั้นบันไดจนถลอกเลือดออกเล็กน้อย ไม่ม่ยาใส่ ไม่มีพลาสเตอร์ปิดแผล เพราะของทุกอย่างฝากเอาไว้ที่อุทยานฯ
จากท่าจอดเรือ เมื่อทุกคนปีขึ้นไปบนท่าแล้ว เราต้องเดินเข้าไปอีกเล็กน้อยประมาณสัก 50 เมตร ก็จะถึงปากถ้ำ และมีทางเดินเป็นไม้เก่าๆ เข้าไปในถ้ำ ดูโดยรวมแล้วขาดการทำนุบำรุง คงไม่มีคนมาที่นี่มากนัก ตอนแรกหน่อยกับยุ้ยลังเลว่าจะไม่เข้าไป ขอนั่งรอหน้าปากถ้ำนี่ละกัน แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้วก็ตกลงใจเดินต่อเพราะหน้าถ้ำมันเงียบมากๆ จนน่ากลัว การผจญภัยของเราเพิ่งเริ่มต้น....

นี่ไงพอเดินมาสักหน่อยจากปากถ้ำก็จะถึงบันไดลิงแห่งที่ 2 ที่เราต้องต่ายลงไปในแพที่ลอยอยู่ในน้ำ แพก็ทำด้วยไม้เก่าๆ และมีโฟมเก่าเป็นทุ่นอยู่ใต้ไม้ และมีเชือกยาวๆ ให้คนเรือเอาไว้ชักลอกให้แพลอยเข้าไปตามลำน้ำในถ้ำ และเวลาขาออกก็ชักออกไปเช่นเดียวกัน

เมื่อทุกคนลงแพเรียบร้อย บ้างก็ยืน บ้างก็นั่ง โดยใช้รองเท้ารองก้นสำหรับนั่งเพื่อไม่ให้กางเกงเปื้อน เมื่อแหงนหน้าดูบนเพดานถ้ำก็จะเห็นค้างคาวตัวเล็กๆ เกาะกันเป็นกลุ่ม หินมีสีสันและรูปทรงแปลกๆ ดี ตอนแรกๆ ที่แพเริ่มเคลื่อนที่เข้าไปในถ้ำ ก็ดูเหมือนสนุกดี ไม่น่ากลัวอะไร แต่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นแสงทางที่เราเข้ามานี่สิ มันดูน่ากลัว คนเรือเล่าว่า ถ้าน้ำขึ้นเต็มที่ แพที่เรานั่งนี้จะลอยเกือบถึงเพดานถ้ำที่เดียว 

แพแล่นไปได้สักประมาณ 200-300 เมตร ก็จะถึงบันไดลิงแห่งที่ 3 เพื่อปีนขึ้นไปอีก ตอนนี้เราชักรู้สึกไม่ค่อยสนุกแล้ว เมื่อทุกคนปีนขึ้นไปแล้ว ก็เดินตามคนเรือไปตามทางเรื่อยๆ เราได้เช่าไปฉายจากอุทยานมา 3 อัน คณะเรามีไปฉายมาเองอันเล็กๆ 2 อัน ปรากฎว่าที่เช่ามานั้นถ่านหมดไป 2 อ้น อีกอันก็ไฟลิบหรี่เต็มที ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งมืดมิด ทางเดินก็ลื่นเพราะเป็นดินผสมทราย พวกเราบางคนใส่รองเท้าฟองน้ำทำให้เดินแล้วลื่นแล้วบางทีก็ถอนเท้าไม่ขึ้นเพราะถูกดินเหนียวๆ ดูดไว้ พวกเราเดินลึกเข้าไปอีกจนถึงประมาณชั้นที่ 3 ซึ่งคนเรือบอกว่าที่นี่มีทั้งหมด 7 ชั้น เราบอกว่าคงพอแล้ว เพราะเรามีเวลาไม่มาก เดี๋ยวจะไม่ทันเรือที่จะมารับ ก็เป็นอันตกลงจะเดินกลับ แต่ไม่ใช่เดินกลับทางที่เดินมา

แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่คิดทีไรแล้วที่ให้หวาดเสียวทุกที คือเราต้องเดินขึ้นเป็นทางลาดเล็กๆ แคบๆ เดินได้ทีละคน พื้นก็รู้สึกลื่นๆ เพราะเป็นดินผสมทรายเปียกๆ มีก้อนหินให้เกาะอยู่ทางซ้ายมือแต่ก็จับได้ไม่ถนัดนัก คนเรือบอกว่าให้ระวังดีๆ เพราะทางขวามือเป็นเหวลึกมาก ให้มองมาข้างหน้าเค้าจะช่วยดึง ไม่ต้องกลัว พอได้ฟังรายละเอียดเสร็จ ก็เกิดอาการลังเลอยู่สักพัก อะไรมันจะต้องเสี่ยงตายขนาดนี้ พวกเราบางคนเป็นกลุ่มแรกที่ข้ามไปแล้วเรียบร้อย และมีอีกกลุ่มที่ยังไม่ได้ข้ามเราอยู่กลุ่มหลัง

แต่ในที่สุดก็ใจเย็นๆ และทุกคนก็ข้ามไปได้โดยปลอดภัย คนเรือพาเดินและวนจนกลับมาตามทางเดินที่เข้ามาครั้งแรก พอทุกคนลงแพได้ก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะยังมืดมองไม่เห็นอะไร จนกระทั่งแพลอยออกมาใกล้ถึงปากถ้ำเห็นแสงสว่างลิบหรี่แต่ไกล ต้องขอบคุณพระที่คุ้มครองการผจญภัยเที่ยวถ้ำคราวนี้ทำให้พวกเรารอดปลอดภัย
อยากจะขอเตือนผู้ชอบเข้าไปเที่ยวในถ้ำที่ไหนก็ตาม ถามดูให้แน่ชัดก่อนว่า ลักษณะถ้ำเป็นอย่างไร จะต้องเดินขึ้นลงอย่างไร ทางเข้าออกเป็นอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร มีทางน้ำซึ่งอาจจะเกิดน้ำหลากได้หรือไม่และที่ขาดไม่ได้คือไฟฉายของเราเอง แต่ต้องแน่ใจว่า battery มีพอ หลายๆ อันก็ยิ่งดี และอาจจะต้องสำรองเอาไว้ใช้ฉุกเฉินสัก 2 อัน เผื่ออันที่ใช้งานอยู่เกิดใช้งานไม่ได้ จะได้ไม่หมดกลางทาง เพราะถ้าไม่มีไฟการที่จะเดินออกมานั้นจะลำบากมาก อาจเกิดอันตรายจากการตกเหวได้ บางถ้ำเช่นที่ถ้ำเชียงดาว guide ที่พาเราเดินเค้าจะไม่ใช้ไฟฉาย แต่จะเป็นตะเกียงน้ำมัน เพื่อความแน่ใจว่า battery จะไม่หมดกลางทาง แต่คนเรือของเราเค้าเป็นชาวบ้านธรรมดาให้เช่าเรือ เดินมามือเปล่า ไม่มีอุปกรณ์อะไรมาเลย คิดว่าไม่อยากมีประสบการณ์กับถ้ำอีกแล้ว เพราะถ้ำเมืองเราน่ากลัวมากกว่าสนุก ไม่มีการระวังในเรื่องของความปลอดภัยใดๆ
 
เมื่อทุกคนเดินกลับมาที่เรือ ก็พบลิงจอมซน และดูท่าทางดุด้วย ชอบค้นของในเรือที่มาจอด มันลงไปรื้อค้นเพื่อหาของกินจนของกระจุยไปทั้งลำ ดีที่พวกเราไม่ได้เอาของอะไรวางไว้ในเรือ
 
เรือ speed boat มาตามเวลา คือประมาณ 11.00 น. ระยะทาง จากเกาะตะรุเตาถึงท่าเรือปากบารา 22 กม. ถึงที่หมายก็ได้เวลาอาหารเที่ยง ก็ไปกินร้านอาหารห้องแถวเป็นอาหารตามสั่ง กินกันพอให้หายหิว รถตู้ก็มานำเราไปแวะเที่ยวชมหาดสมิหลา จ. สงขลา ไปเดินเล่นชมหาดทรายสวย แต่ปรากฏว่าโชคไม่ดีอีกแล้ว เพราะเท้าข้างที่ขูดกับบันไดจากถ้ำจระเข้ หัวแม่เท้าเดินไปเสียบเข้ากับไม้เสียบลูกชิ้นที่ทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่บนสนามหญ้าจนเจ็บและเลือดไหล คราวนี้ต้องรีบหายาใส่แผลเพราะไม่อยากเป็นบาดทะยัก ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าเห็นไม้เสียบลูกชิ้นจำนวนมากมาย ทิ้งอยู่เกลื่อนกลาดบนหญ้าบนชายหาดสวยๆ ที่สมิหลา
ไปนั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ นั่งกินลม ชมวิว ค่าเวลา เพื่อรอกินอาหารค่ำที่นี่ และจะได้เดินทางกลับไปหาดใหญ่เพื่อนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพ


กินอาหารมื้ค่ำที่ริมทะเลสาบสงขลา อาหารอร่อย ไม่แพงมาก ลมพัดเย็นสบาย  เสร็จแล้วเดินทางกลับไปหาดใหญ่ ไปเดินเล่นซื้อของที่ตลาดตันหยงตอนค่ำ หลังจากนั้นก็ไปขึ้นเครื่องบิน นกแอร์ ประมาณ 4 ทุ่ม กลับสุ่กรุงเทพโดยสวัสดิภาพ

No comments: